
วัดบ้านแพน
การศึกษาพุทธาคม
(จากหนังสือโลกทิพย์ ฉบับเดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๕ )
หลวงพ่อพูน ท่านได้ให้ความสนใจและศึกษาในด้านเวทย์วิทยาคมมาตั้งแต่อายุ ๑๔ปี โดยได้ติดตามหลวงปู่คำปัน ขึ้นไปอยู่ภาคเหนือเพื่อศึกษาวิชาอาคมต่างๆ เป็นเวลาถึง ๑ ปี จึงได้กลับมาบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดบ้านแพน ซึ่งเป็นวัดประจำบ้านเกิด โดยคำชักชวนของหลวงพ่อวาสน์ เจ้าอาวาสวัดบ้านแพน ในขณะนั้น
“วันหนึ่งมีหลวงพ่อรูปหนึ่งชื่อ คำปัน ท่านมีรูปร่างสูงใหญ่ ขาว มีไฝ และเป็นพระหมอดู เดินธุดงค์มาจากเมืองเหนือ จะว่าท่านทำมาหากินก็ไม่เชิง จะว่าหากินก็ใช่ แต่ท่านเป็นพระหมอดู ดูคนโน้นคนนี้ แต่ท่านก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรจากคนที่มาดูหมอ ญาติโยมก็มาถวายบ้างเป็นธรรมดาเป็นค่าน้ำชากาแฟก็ว่าไป อาตมาก็ไปกับท่านตอนอายุ ๑๔ – ๑๗ พาไปเรื่อย ๆ ทีแรกไปประตูน้ำก่อน จากประตูน้ำไปสามชุก ร่องไปเรื่อย ท่าโบสถ์ หันคา แล้วก็กลับมา จากนั้นก็ไปบางมูลนาก บ้านหมี่ แล้วก็กลับไปกรุงเทพฯ ไปๆ มาๆ อยู่อย่างนี้ ไปอุตรดิตถ์แล้วก็กลับมากรุงเทพฯ ไปวัดเสาหินที่ลับแล ท่านไปดูหมอ ไปเสก ท่านมีบทขลังอยู่บทหนึ่ง เป็นคาถาทำน้ำมนต์เพื่อให้คลอดบุตรง่าย ท่านเก่ง หลวงพ่อคำปันท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านเป็นคริสต์ไม่ใช่พุทธ แต่ท่านเป็นโรคบุรุษ ขอบตานี่แดงเลย ญาติพี่น้องไม่มีใครเอา ทิ้งท่านหมดเลย เขาหาว่าท่านมีเชื้อโรค ท่านก็เลยนึกถึง พระแล้วก็หนีไปบวช คนมันจะไม่ตาย มาบวชที่วัดท่าถนน จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยมี เจ้าคุณทองสุก (พระสุธรรมเมธี) เป็นพระอุปัชฌาย์
พอบวชแล้วก็เรียนนักธรรม ได้นักธรรมตรี เสร็จแล้วท่านก็ลาอาจารย์ออกธุดงค์ วันหนึ่งก็เดินมาเรื่อยๆ มีเงินติดตัวอยู่ ๒๒ บาทเท่านั้นแหละ ติดในย่าม อาศัยพักในโบสถ์ร้าง พอตอนเช้าก็ออกบิณฑบาต ฉันเสร็จก็สวดมนต์ไหว้พระในโบสถ์ร้างนั้น พอถึงตอนเพลก็มีโยมนำอาหารมาถวายเยอะแยะเลย กับข้าวกับปลาเอื้อมไม่ถึงเลย ตั้งเรียงยาวเป็นวา ท่านก็ฉันโน่นนิดฉันนี่หน่อย แล้วญาติโยมก็ขอน้ำมนต์คลอดบุตรง่ายบ้าง อะไรบ้าง ท่านจึงทำน้ำมนต์มอบให้เขาไป จากนั้นท่านก็ออกธุดงค์ไปเรื่อยๆ
อาตมาสังเกตว่าท่านจะมีขวดคล้ายๆกับขวดสปอนเซอร์ และจะมีตะกรุดแช่อยู่ในนั้น ประจำเลย ๒-๓ ดอก เช้ามาท่านก็จะเสกทุกวัน บทน้ำมนต์คลอดบุตรง่าย“ยะโตหัง ภะคินิ อะริยายะ ชาติยา ชาโต นาภิชานามิ สัญจิจจะ ปาณัง ชีวิตา โวโรเปตาฯ เตนะ สัจเจนะ โสตถิ เต โหตุ โสตถิ คัพภัสสะ” แค่นี้ไม่มีอะไรมาก หรืออาจจะมีนอกเหนือจากนี้ก็ไม่รู้
เสร็จแล้วท่านก็ล่องมากรุงเทพฯ มาพักอยู่ที่ วัดคณิกาผล ( วัดใหม่ยายแฟง ) อาตมาก็ไปอยู่ที่นั่นพักนึง คือได้ไปกับท่านเพราะเป็นลูกศิษย์ท่าน ตอนนั้นอาตมายังไม่ได้บวช เสร็จแล้วท่านก็ออกปากชวน หลังจากไปกับท่านแล้วว่า “พูนไปอยู่กับหลวงพ่อที่นครสวรรค์ไหม” ”เราก็บอกว่า “ หลวงพ่อครับ ผมมีแม่ มีพี่ชาย พี่สาว น้องสาว มีพี่น้อง ๖ คน ถ้าผมจะต้องไปกับหลวงพ่อ ผมจะต้องกลับไปบอกแม่ก่อน ถ้าแม่อนุญาตผมก็ไป ถ้าไม่อนุญาตก็ไม่ไป มันเหมือนกับผม เป็นลูกผู้ชายคนเดียว เพราะพี่ชายเขายังไม่ได้บวชยังทำตัวเกเรไปตามเรื่องในแต่ละวัน”
เสร็จแล้วก็นัดกับหลวงพ่อว่า วันนี้ไม่คิด คิดพรุ่งนี้เป็นต้นไป นับไป ๓ วัน ในกำหนด ๓ วันนี้ ถ้าผมไม่กลับมาก็เป็นอันว่าแม่ผมไม่อนุญาต เราก็มาทำตามที่พูดกับหลวงพ่อไว้ มาถึง ก็บอกแม่ แม่ก็ไม่ยอมท่าเดียว บอกแม่ว่าไม่เป็นไรฉันไปอยู่ที่ไหนก็จะจดหมายมาหาแม่ว่าอยู่ตรงนั้นตรงนี้นะ แม่ก็ไม่ให้ไปอย่างเดียว เมื่อเป็นอย่างนั้นเราก็ไม่ไป หลวงพ่อก็ให้กระเป๋า ๑ ลูก หนังสือภาษาอังกฤษ ๒ เล่ม พจนานุกรมเล่มหนึ่ง ตำรายันต์เล่มหนึ่ง นอกนั้นก็เป็นเสื้อผ้าแล้วก็เป็นผ้าห่มอีกผืนหนึ่ง
เรียนวิชาโหราศาสตร์
“ วิชาโหราศาสตร์หลวงพ่อคำปันท่านไม่ได้สอนหรอกแต่อาศัยจำมา พอมาถึงทีเราเข้าบ้าง คนที่เขารู้ เขาก็มาให้ดูหมอให้ ก็ตั้งเลข ๗ ตัว ไม่ดู ๑๒ ตัว หนักเข้าๆ ไม่เข้าท่า ก็คิดใหม่ คิดแนว อาจารย์เรืองเดช ในตำราพรหมชาติ มีอยู่ตอนหนึ่ง ก็เอาตำรานั้นมาผสมผสานกัน แล้วก็เอาออกมาทาย มี ๗ คู่ คู่ที่ ๑ ๑ ขวบ ๓/๒, ๒ ขวบ ๖/๕, ๓ ขวบ ๒/๑, ๔ ขวบ ๕/๔, ๕ ขวบ ๑/๐, ๖ ขวบ ๔/๓, ๗ ขวบ ๐/๖ ก็มทำนาย มันก็ตรง เลยตั้งปณิธานว่า วิชาโหราศาสตร์ที่ข้าพเจ้าพอจะมีความรู้อยู่บ้าง ข้าพเจ้าตั้งใจจะช่วยเหลือญาติโยมโดยทางอ้อม ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ตามใจ แล้วแต่ บังคับกันไม่ได้”
เรียนสมถกรรมฐานกับอาจารย์พริ้ง
นอกจากนั้น ท่านยังได้ศึกษาวิปัสสนากรรมฐานกับ อาจารย์พริ้ง ลักษณะนิล, อาจารย์ลพ เกตุบุตร และ อาจารย์รอด จันทรวิบูลย์ ๓ อาจารย์ฆราวาสจอมขมังเวทย์ย่านบ้านแพนในสมัยนั้น ซึ่งอาจารย์ทั้ง ๓ ท่านต่างก็เป็นศิษย์ของ อาจารย์จาบ สุวรรณ (ก๋งจาบ) แห่งสำนักวัดประดู่-ทรงธรรม นอกจากนี้ยังได้รับการถ่ายทอดวิชาการทำน้ำพุทธมนต์ จากอาจารย์พริ้ง ลักษณะนิล และรับการถ่ายทอดวิชาการลงยันต์ตรีนิงสิงเหจาก อาจารย์ลพ เกตุบุตร ซึ่งเป็นพี่ชายของ หลวงพ่อวาสน์ เจ้าอาวาสวัดบ้านแพน และเป็นพระอุปัชฌาย์ของท่าน
ส่วนการเรียนกรรมฐานกับ อาจารย์พริ้ง เมื่อประมาณพรรษา ๒๐ ก็ไม่รู้จะเรียนอะไรแล้ว บาลีก็ไม่ได้เรียน ก็ช่วยหลวงพ่อวาสน์สร้างโบสถ์ ตั้งแต่ปี ๒๔๙๗ รวม ๑๗ ปี ก็ยังไม่เสร็จนะ เทปูนตั้งแต่ใต้ดินไปยังขื่อแล้วก็เลิก เพราะข้างบนทำไม่ได้ เมื่อเป็นอย่างนี้ วันหนึ่งเย็นแล้วก็ไปหา อาจารย์พริ้ง คือท่านอยู่ที่วัดนี้แหละ บอกกับท่านว่า “ลุงขอเรียนกรรมฐานด้วยคนไม่ได้เหรอ” ท่านก็บอกว่า “ได้สิๆ” แล้วก็หัวเราะเพราะเป็นคนยิ้มเก่ง อาตมาก็ถามว่า“มันมีค่าบูชาอะไรบ้างล่ะลุง “ท่านก็บอกว่า “มีดอกไม้ ธูป เทียน กระทงใส่ข้าวตอกดอกไม้ ”
พอจัดแจงเครื่องสักการะครูบาอาจารย์เสร็จก็ไปที่โบสถ์หลังเก่า โดยมี อาจารย์ลพ อาจารย์รอด อาจารย์พริ้ง นายย้ง ท่านให้ขึ้นกรรมฐาน อาจารย์ลพ อาจารย์รอด ก็คุมเราเรื่อยไป นั่งที่ป่าช้าบ้าง นั่งที่โบสถ์บ้าง แต่โดยมากนั่งที่โบสถ์ นั่งที่ป่าช้า ๒ ครั้ง แล้วก็เลิก แต่เวลาไปนั่งที่ป่าช้ามันดีจังเลย เพราะมันสงบไม่มีใครรบกวน สำหรับประสบการณ์การนั่งในป่าช้า มี แต่ พูดไม่ได้ พูดแล้วมันมืด เขาห้าม
การนั่งสมาธิขั้นแรกท่านก็สอนให้ ขวาทับซ้าย นั่งตัวตรงๆแล้วก็ให้บริกรรม “ตจปัญจกกรรมฐาน ” คือ กรรมฐาน ๕ ว่า “เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ...ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกสา “ พิจารณาไปเรื่อยๆ เสร็จแล้วก็ขึ้นคำว่า “ สัมมา อะระหัง “ กำหนดลมหายใจเท่านั้นแหละ โดยท่านจะสอนอย่างนี้ทุกวันๆ จนกระทั่งเราจำได้ ขอจดก็ไม่ไห้จด ผลที่สุดพอนั่งไปๆอยู่ในโบสถ์ อาจารย์ที่นั่งอยู่ในบริเวณนั้น ท่านก็รู้ว่าได้อะไรบ้าง อาตมาก็บอกท่าน เมื่อท่านรู้แล้วก็เลยไปบอกให้ว่า ทำไมไม่เลื่อนขั้นให้ลูกศิษย์ล่ะ ลูกศิษย์ได้ธรรมแล้ว บางคนบอกลักษณะนี้เหมือนของวัดประดู่ทรงธรรม ก็ใช่ เพราะอาจารย์อาตมาอยู่วัดประดู่ทรงธรรม
พออาจารย์พริ้ง อาจารย์ลพ อาจารย์รอด เสียชีวิตไปหมดแล้วก็ไม่รู้จะไปพึ่งใคร ได้ไปหลายขั้น ๕ – ๖ เหมือนกัน ขั้น หมายถึง เวลานั่ง ท่านจะให้คำบริกรรมมาเป็นขั้นๆ เช่น เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ...ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกสา หรือ สัมมา อะระหัง หรือ พุทโธ พระอะระหัง ธัมโม พระอะระหัง สังโฆ พระอะระหัง ถ้าได้เลื่อนขั้นก็ว่าต่อไปอีก ”
เคล็ดวิชาเสกน้ำมนต์ให้ศักดิ์สิทธิ์ด้วยพระคาถาชินบัญชร
สำหรับ พระคาถาชินบัญชรนั้น มีเคล็ดที่จะใช้ให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ ก็คือว่าต้องตั้งจิตให้เป็นสมาธิมั่นคง อย่างหลวงพ่อของอาตมา คนมาขอน้ำมนต์ไม่ให้ถูกทหาร ท่านก็ทำน้ำมนต์รดให้ด้วยการสวดคาถานมัสการพระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์
“ นะโม เม สัพพะพุทธานัง อุปปันนานัง มะเหสินัง ตัณหังกะโร มะหาวีโร เมธังกะโร มะหายะโส สะระณังกะโร โลกะหิโต ทีปังกะโร ชุตินธะโร โกณฑัญโญ ชะนะปาโมกโข มังคะโล ปุริสาสะโภ สุมะโน สุมะโน ธีโร เรวะโต ระติวัฑฒะโน โสภีโต คุณะสัมปันโน อะโนมะทัสสี ชะนุตตะโม ปะทุโม โลกะปัชโชโต นาระโท วะระสาระถี ปะทุมุตตะโร สัตตะสาโร สุเมโธ อัปปะฏิปุคคะโล สุชาโต สัพพะโลกัคโค ปิยะทัสสี นะราสะโภ อัตถะทัสสี การุณิโก ธัมมะทัสสี ตะโมนุโท สิทธัตโถ อะสะโม โลเก ติสโส จะ วะทะตัง วะโร ปุสโส จะ วะระโท พุทโธ วิปัสสี จะ อะนูปะโม สิขี สัพพะหิโต สัตถา เวสสะภู สุขะทายะโก กะกุสันโธ สัตถะวาโห โกนาคะมะโน ระณัญชะโห กัสสะโป สิริสัมปันโน โคตะโม สักยะปุงคะโว ฯ เตสาหัง สิระสา ปาเท วันทามิ ปุริสุตตะเม วะจะสา มะนะสา เจวะวันทาเมเต ตะถาคะเต สะยะเน อาสะเน ฐาเน คะมะเน จาปิ สัพพะทา ”
ท่านสวดในโบสถ์ เสร็จแล้วท่านก็อาบ อาบให้ แล้วท่านก็พูดว่า “ ไปแล้วกลับนะ ” ถ้าตอบ “ครับ” รอดทุกราย
เรียนวิชาสายวัดประดู่ทรงธรรม
วิชาสายวัดประดู่ทรงธรรมอาตมาไม่ได้เรียนโดยตรง เรียนกับลูกศิษย์ของอาจารย์จาบ คือ อาจารย์พริ้ง อาจารย์ลพ อาจารย์รอด เมื่อแรกที่อาจารย์จาบ ท่านมาสอนที่นี่จะมีลูกศิษย์เยอะ เพราะท่านเก่งมาก และยังเป็นอาจารย์ของหลวงปู่เทียม วัดกษัตราธิราชด้วย
อาจารย์จาบเป็นฆราวาส อาจารย์พริ้ง อาจารย์ลพ อาจารย์รอด เรียนกับอาจารย์จาบทั้งนั้นเลย แม้แต่อาจารย์แก้ว และญาติโยมแถวนี้ก็ไปเรียนกับอาจารย์จาบที่วัดประดู่ทรงธรรมกันทั้งนั้น อาจารย์จาบท่านอยู่วัดสำเภาล่ม ใครจะทำอะไรแกไม่ได้ แกมีวิชาป้องกันตัวหมดเลย เพราะเรียนมาสูงมาก อาตมาเรียนมาจากสายวัดประดู่ทรงธรรม ปัจจุบันก็บอกให้ลูกศิษย์ไปขึ้นครูที่นั่น
ส่วนหลวงพ่อปี วัดกระโดงทอง ท่านมีดีในตัวจริงๆ ที่อาตมาเห็นท่านประพฤติ ไม่ใช่แค่ ครั้งเดียวหรือสองครั้งนะ แต่เห็นเป็นสิบๆครั้ง ท่านจะไปฉันที่ไหนก็ตาม ฉันเช้า ฉันเพล ก็ตาม ท่านไปทำพิธีให้เสร็จแล้ว ถวายของเสร็จท่านก็กลับ ของนั่นใครจะเอาไปไหนก็ช่าง ท่านไม่เอา เช้ามืดตอนตี ๔ ท่านจะตื่นขึ้นมาแล้วลงไปนั่งกรรมฐานในโบสถ์ กวาดโบสถ์ทุกวัน จนกระทั่งมรณภาพ ที่อาตมาชอบใจคือท่านไม่หยิบเอาอะไรเลย ไม่เอาจริงๆ แล้วก็ไม่ถามด้วยว่าเงินได้เท่าไหร่ๆ ไม่สงสัยเลย ท่านมีคู่แฝด เป็นแฝดชาย – หญิง
การสร้างพระครั้งแรก
ปฐมบทการสร้างวัตถุมงคลของหลวงพ่อพูน เห็นจะหนีไม่พ้นการสร้างพระเนื้อดินเผา ซึ่งเริ่มต้นเดิมทีเมื่อครั้งหลวงพ่อพูน ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุได้ประมาณ ๑๕ พรรษา ราวปี พ.ศ. ๒๕๑๐ เมื่อว่างจากกิจการงานของสงฆ์ หลวงพ่อท่านจึงมีแนวคิดจะทำวัตถุมงคลขึ้น โดยเห็นว่าการสร้างพระทั่วไปมักจะสร้างเป็นพระที่มีพุทธลักษณะเป็นองค์เล็ก ท่านจึงมีแนวคิดจะสร้างพระที่มีพุทธลักษณะเป็นองค์ใหญ่บ้าง เพื่อจะได้ดูมีความอุดมสมบูรณ์ ท่านจึงดำริสร้างพระสังกัจจายน์ หน้าตัก ๓ นิ้ว ที่มีลักษณะอ้วน ใหญ่ เมื่อท่านคิดเห็นเป็นเช่นนั้นแล้ว ท่านจึงได้ไหว้วานให้สามเณรที่บรรพชาอยู่ในช่วงนั้นไปหาดินเหนียว เพื่อจะทำองค์พระสังกัจจายน์
เมื่อสามเณรได้นำดินเหนียวมามอบให้ท่านแล้ว ก็ได้เริ่มทำการปั๊มพระเป็นพระสังกัจจายน์ จากแม่พิมพ์ที่ท่านได้แกะขึ้นเอง โดยในครั้งแรกของการสร้างเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับองค์พระ หลวงพ่อท่านจึงนำไปเผา แต่เมื่อเผาองค์พระสังกัจจายน์ออกมา ปรากฏว่าองค์พระกลับแตก เกือบทั้งหมด แต่หลวงพ่อท่านก็มิได้ล้มเลิกความคิด จึงให้สามเณรไปหาดินมาใหม่ เมื่อได้ดินมาแล้ว ในครั้งนี้ก่อนการลงมือทำองค์พระ หลวงพ่อท่านได้ทำการจุด ธูปบอกกล่าว สิ่งศักดิ์สิทธิ์และขอขมาครูบาอาจารย์ ก่อนที่จะลงมือทำองค์พระอีกครั้ง ซึ่งหลังจากการเผาในครั้งนี้แล้วเสร็จปรากฏว่าองค์พระ มีความสมบูรณ์ สวยงาม ลวดลายที่ได้แกะแม่พิมพ์ไว้ปรากฏชัดเจน มีเสียหายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น กอปรกับในช่วงนั้นกำแพงอุโบสถของวัดบ้านแพน ได้เกิดการทรุดเอียง หลวงพ่อท่าน จึงได้นำพระสังกัจจายน์ที่ได้ทำไว้ได้จำนวนหนึ่ง ออกให้บูชา โดยพระสังกัจจายน์ที่ปิดทองคำเปลว ให้บูชาองละ ๒๒ บาท ในส่วนองธรรมดาให้บูชา องละ ๑๒ บาท เพื่อนำปัจจัย มาทำการบูรณะกำแพงอุโบสถได้จนสำเร็จเสร็จสิ้น ต่อมาหลังจากท่านสร้างพระสังกัจจายน์เนื้อดินเผาแล้ว หลวงพ่อท่านก็ได้เริ่มสร้าง พระเนื้อดินในรูปแบบอื่น ๆ บ้างโดยหลวงพ่อท่านเป็นผู้แกะแม่พิมพ์ด้วยตนเองจากหินลับมีด เป็นพระพิมพ์ต่างๆ เช่น พระสมเด็จพิมพ์วัดระฆัง พระพุทธพิมพ์สามเหลี่ยม พระสมเด็จพิมพ์เสมา พระสมเด็จแหวกม่าน พระสมเด็จพิมพ์คะแนนหลังธรรมจักร พระพิมพ์พระสังข์กระจาย และพระพิมพ์พระปิดตา เป็นต้น
ด้วยความสามารถในการแกะแม่พิมพ์พระของหลวงพ่อเป็นที่เล่าลือไปไกล จึงทำให้วัด อื่น ๆ มาขอให้ท่านช่วยแกะแม่พิมพ์พระให้อยู่เสมอ ซึ่งหลวงพ่อท่านก็รับเมตตาแกะถวาย นอกจากนี้หลวงพ่อท่านยังได้แกะแม่พิมพ์พระสมเด็จถวายหลวงพ่อปี จนฺทาโภ วัดกระโดงทอง
เนื่องจากการทำพระเนื้อดินเผานั้นมีกรรมวิธีที่ลำบากและทำได้จำนวนน้อย ต่อมา หลวงพ่อท่านจึงหันมาทำเป็นพระผงแทน โดยในช่วงแรกของการจัดสร้าง หลวงพ่อท่านได้รวบรวมมวลสาร ไม่ว่าจะเป็นมวลสารเก่าแก่ของวัดบ้านแพน มวลสารของพระเกจิคณาจารย์ ในพื้นที่ และมวลสารเก่าของวัดระฆังโฆษิตาราม กรุงเทพมหานคร
ปัจจุบันวัตถุมงคลยุคต้นของหลวงพ่อ ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ประกอบกับผู้ที่ศรัทธานำไปบูชาและเกิดประสบการณ์มากมาย จึงกลายเป็นที่เสาะแสวงหาของบรรดาลูกศิษย์ แต่ด้วยจำนวนการจัดสร้างที่น้อย และระยะเวลาที่ยาวนานอาจมีบุบสลายไปตามกาลเวลา จึงทำให้พบเห็นน้อยและหาได้ยาก
เรียนวิชาทำตะกรุดดอก(ไม้)ทอง
ราวปี พ.ศ. ๒๕๐๖ หลวงพ่อท่านมีโอกาสเดินทางไปวัดเสาธงทอง จังหวัดอ่างทอง จึงถือโอกาสฝากตัวเป็นศิษย์ร่ำเรียนวิชาการทำตะกรุดดอก(ไม้)ทอง จากหลวงพ่อสนั่น แห่ง วัดเสาธงทอง จังหวัดอ่างทอง “ต่อมาก็เกิดเรื่องดี คือ มีคนชวนไปเรียนวิชาทำตะกรุดกับหลวงพ่อสนั่น วัดเสาธงทอง ซึ่งก่อนหน้านั้น อาตมาเคยขอเรียนวิชากับหลวงพ่อ ท่านมองหน้าแล้วก็บอกว่า “ไม่ได้” แต่ท่านก็บอกว่า “ถ้าว่างๆก็ไปที่วัดสิ”
ตั้งแต่วันนั้น อาตมาก็ทิ้งมา ๓ – ๔ ปี จนกระทั่งเด็กจากกรุงเทพฯ มาบวชได้วันสองวัน โยมอั้งม้อ ร้านทองแม่กิมไล้ (นายมานพ เกตุสังข์ประดิษฐ์) เขาชวน “อาจารย์ไปเอาตะกรุดกันไหม ” นึกออก ไปก็ไป ก็เลยซื้อกล้วยไปบูชาครูด้วย ๗ หวี แผ่นเงิน ๓ แผ่น ด้าย ๗ สี เงิน ๒ สลึง ไปกัน ๕ คน กล้วยใช้แค่ ๗ หวีเท่านั้น จะกี่คนก็ตามใจ เทียนขาว ๗ เล่ม รวมทั้งข้าวของอย่างอื่นที่จะไปบูชาท่าน
ตอนนั้นรถก็ไม่มี ต้องไปเรือ ไปถึงที่โน่นบ่าย ก็ขึ้นรถที่หัวเวียง ออกโผงเผง เลี้ยวขึ้นไปถึงป่าโมก อาตมาก็ขึ้นไปบนกุฏิท่านซึ่งเป็นเรือนแพ เพราะเอาเรือนแพที่โยมถวายมาเป็นกุฏิ พอไปถึงก็กราบและบอกท่านว่า “ หลวงพ่อครับ เส้นที่แขวนที่เสานี้ ผมขอบูชานะครับ ” และถวายปัจจัยท่านไป ๒๐ บาท
หลวงพ่อสนั่น ท่านไปไหนไม่มีอะไร มีเพียงตะกรุดอยู่เส้นเดียว ท่านจบเพียงนักธรรม ชั้นเอก แต่เทศน์เก่งมาก พออาตมาเข้าไปกราบท่าน ท่านก็ถามว่า “เขียนขอมเป็นไหม” ก็บอกท่านว่า “เขียนเป็น แต่ถ้ามีตัวซ้อนก็จะยากหน่อย ต้องรู้ความหมาย “ท่านก็สอนให้ เอาตะกรุดมาทำอย่างนี้ ท่านให้เอาแผ่นทองมาจารตะกรุด ๓ แผ่น แล้วก็บอกคาถาที่จะจารลงไปทีละคำ แต่คาถาปรกกับคาถาเสกไม่เหมือนกันนะ เสกตามกำลังวันเลย พอได้มาแล้วอีกหลายวันกว่าจะทำได้ วันต่อมา กลับจากกลับมาจากวัดท่านแล้ว ก็ไปซื้อแผ่นทองแดงมา ๑๕ แผ่น ๑ แผ่น ตัดออกเป็น ๒ แผ่น จารตะกรุดได้ ๒ ดอก ๑๕ แผ่น ก็จารตะกรุดได้ ๓๐ ดอก เมื่อตัดเสร็จ ก็นั่งจารและม้วน ตั้งแต่บ่ายโมงยัน ๕ โมงเย็น ไปไหนไม่ได้เลย ต้องให้เสร็จพิธีถึงจะไปได้ ส่วนตะกรุด ๓๐ ดอกนั้น ใครเอาไปบ้างก็ไม่รู้จำไม่ได้แล้ว วิชาที่โด่งดังหลวงพ่อสนั่นสอนให้วิชาเดียว คือ วิชาตะกรุดดอกไม้ทอง เพราะอาตมาตั้งใจไปเรียนวิชาเดียวนี้แหละ
วิธีใช้ตะกรุดดอกไม้ทอง
“ตื่นเช้ามาหลังจากล้างหน้า แปรงฟัน อาบน้ำเสร็จแล้ว ก็ให้กราบพระแล้วกำตะกรุดไว้ โดยเอาด้านที่มีห่วงลงข้างล่าง จากนั้น ให้ตั้ง “ นะโม” ๓ จบ เสร็จแล้วกล่าวคาถาปลุกตะกรุดว่า “เมตตา คุณณัง อะระหัง เมตตา” โดยท่องให้ได้ ๙ จบ แล้วเป่าลงไปที่ตะกรุด พร้อมกับกล่าวสำทับว่า “ขอให้รวย สำเร็จ เป็นเมตตามหานิยม แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง” ทำนั่นทำนี่ ก็ให้อธิษฐานไปตามที่เราปรารถนาทุกๆประการ
ข้อห้ามและข้อปฏิบัติ
“ ถ้ามีตะกรุดอันนี้อยู่กับตัว ห้ามด่าหรือพูดคำหยาบเด็ดขาด ถ้าใครด่าหรือเผลอพูดคำหยาบ เวลามีเรื่องหรืออธิษฐานขออะไร ก็ไม่สัมฤทธิ์ผล เพราะตะกรุดไม่ช่วย แต่ถ้าเผลอด่าหรือพูดคำหยาบ ต้องรีบปลุกตะกรุดใหม่ทันทีตามที่กล่าวไว้ในเบื้องต้น
สรุปวิธีใช้ตระกรุดดอกไม้ทอง
สรุปการใช้ตระกรุด ตอนตั้ง “นะโม” เอาทางห่วงลงแล้วสวด “เมตตา คุณณัง อะระหัง เมตตา” ๙ จบ แล้วก็เสก ตอนไปจิ้มของขายก็เอาห่วงลงแล้วก็เสก ตั้ง “นะโม” ใหม่ จะคนกี่ทีก็ตามใจแต่ต้องว่าให้ได้ ๙ เที่ยว เป็นใช้ได้
ผู้สืบทอดวิชาตระกรุดดอกไม้ทอง
“ที่วัดบ้านแพนนี้อาตมาถ่ายทอดวิชานี้ให้หลายรูป พระครูวินัยธรยิ่งยศ พระปลัดธนวัฒน์ พระครูเสนาคุณวัฒน์ ผู้ที่เรียนวิชานี้ห้ามสึกเด็ดขาดและวิชานี้จะไม่ให้ฆราวาสเรียน สาเหตุที่ไม่ให้ฆราวาสเรียนเพราะ กลัวเอาไปทำเสีย หรือเอาไปทำมาหากินในทางที่ไม่ถูกไม่ควร”
วิชานี้เป็นทั้งเมตตา ทั้งมหาเสน่ห์ เป็นทั้งคงกระพันปลอดภัยด้วย มันแยกแตกแขนงออกที่อาตมาเยอะ อย่างเช่น ประสบการณ์ยิงไม่ออก ฟันไม่เข้า บางคนซิ่งรถไปก็ไม่เป็นไร แม้แต่เอาไปจิ้มหวยก็ถูกแต่ไม่ให้มองดู จิ้มไปเลยในถาดที่เขาขาย โดยตั้ง “นะโม” ก่อน ต้องจำเคล็ดให้ได้ ข้อสำคัญอย่าด่าเท่านั้นเอง ถ้าด่ามันหลุด ไม่ช่วยเหลือเลย ถ้ามีปืนยิงมา ก็โป้งหงายท้องเลย
ฉะนั้น อาตมาจึงได้สั่งลูกศิษย์ลูกหาทุกคนว่า ตอนเช้าขึ้นมาอาบน้ำท่าเสร็จต้องหยิบของมาปลุกก่อน “ทำไมล่ะ” ก็เขาจะมาฆ่าเราเขาจะบอกเราก่อนไหมล่ะ จริงไหม ”
ประสบการณ์ตระกรุดดอกไม้ทอง
“ อาตมาจะเล่าให้ฟังนะ มีผู้หญิง ๓ คนพี่น้องมาที่วัดและได้เช่าตระกรุดไป ไม่รู้วิธีใช้ เขาเอาตระกรุดใส่พานแล้วสวดพูดตามที่บอก แต่เอาขึ้นหิ้งบูชาไว้ “ผิด“ เพราะมันจะต้องเอาตะกรุดไปจิ้มหม้อแกงที่จะขาย ทำแกงขาย ๓ – ๔ หม้อ ขายไม่ได้เลย ทัพพีเดียวยังขายไม่ได้ บูชาไปเป็นเดือน เพราะตอนที่มาเช่า พอเช่าเสร็จก็ลงไปเลย ไม่ได้ขึ้นมาหาอาตมา เลยไม่รู้วิธีใช้ แต่เดี๋ยวนี้ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ผัวเมียอีกคู่หนึ่ง วันหนึ่งขายกับข้าวได้ ๕,๐๐๐ บาท ๒๐ ถาด บ่าย ๒ โมงหมด ไม่มีเหลือ
แต่ก็อยากได้มากกว่านี้ อยากรวย ก็เลยมาเช่าไปอีก ๓ ดอก ดอกยาวพันด้วยเชือกสีแดง เมียมีหน้าที่แกง ผัวก็เสก ตั้ง “ นะโม ” ๓ จบ ตามที่บอก ขายจนบ่าย ๒ โมง แกงยังเหลืออีกครึ่งถาด แต่เงินได้มาหมื่นกว่าบาท เงินมายังไง แกงก็ยังเหลืออยู่ พอขายต่อไปก็ได้เงินเพิ่มมาอีก อีกคนที่นครปฐม ใส่ไว้ในกระเป๋าตังค์ พวกจี้ มันเอาเงินในกระเป๋าไปหมดแต่ตระกรุดไม่เอา มันโยนทิ้งแล้วที่สุพรรณ ขับรถฟอร์จูนเนอร์ ชวนเพื่อนไปด้วยขับไปชนควายกลางถนน ตัวเจ้าของรถติดหนึบ ปอเต๊กตึ๊งต้องมางัดออก พองัดออกมาก็ไม่เป็นไร อีกคนเป็นเด็ก มาเอาตระกรุดไปจิ้มกรงดักหนู ไอ้ที่ไม่จิ้มหนูไม่เข้า แต่กรงที่จิ้มเข้าหมดทุกกรงเลย ”
ตระกรุดหนังเสือ
“ตระกรุดหนังเสือนี้ ถ้าให้พูดถึงในด้านอิทธิฤทธิ์มันมีอำนาจเพิ่มขึ้นมาอีกหน่อย เป็นหนังเสือจริงๆ ม้วนก็ลำบาก ทำอะไรก็ลำบาก ถ้าเป็นอีกอย่างหนึ่งก็จะเป็น ทองเหลือง ทองแดง ถักด้ายเป็นสีๆ ตระกรุดของอาตมาลงยันต์ตัวเดียวกัน กี่อันๆก็เหมือนกันหมด ไม่ผิดแผกแตกต่างอะไร หนังเสือก็เมตตาเหมือนกัน เพราะเสือมันมีอำนาจ คาถาอันเดียวกัน “เมตตา คุณณัง อะระหัง เมตตา เหมือนกัน ตระกรุดต้องปลุกเสกทุกวัน ถ้าไม่ปลุกทุกวันมันจะช้า ใช้ไม่ไป มันอืด เหมือนอย่างนี้ ไอ้หนูไปหยิบขันให้พ่อหน่อย นานก็ยังไม่ได้ขัน ไอ้หนูทำไมไม่หยิบขัน เดี๋ยวครับพ่อ มันยังเดี๋ยวอีก ในฐานะเป็นลูก แต่ถ้าครูใช้ไปนาย ก. ไปหยิบขันมาให้ครู แป๊บเดียวถึงเลย ผิดกันไหมหล่ะครูกับพ่อ..??
เพราะฉะนั้น อันนี้ก็เหมือนกัน ตระกรุดนี่มันต้องปลุกทุกวัน ถ้าไม่ปลุกทุกวันมันช้า “ เฮ้ย ตื่นเถอะ นี่มัน ๖ โมงเช้าแล้ว อื๊ด...หลับไปอีก” มันจะเอาความขี้เกียจออกมา ต้องปลุกทุกวัน และการปลุกทุกวันก็เพื่อป้องกันที่ว่า วันนี้เขาจะมาฆ่าเรา เขาบอกเราไหมว่า วันนี้เขาจะมายิงแก เราจะให้เขายิงไหม ถ้าเราไม่ยอมให้เขายิง เรามีอะไรป้องกันตัวหรือเปล่า เราก็เอาตระกรุดที่เราบูชาอยู่กับตัวนี้แหละมาปลุกเพื่อป้องกันภยันตรายต่างๆให้กับตัวเราเอง
บางคนเช่าไปแล้วก็ไม่ถามไม่อะไร เดินดุ่ยๆไปเลยก็มี ก็แล้วแต่ไม่ว่าอะไร ก็คุ้มเหมือนกันแต่จะคุ้มขนาดไหนไม่ทราบ
ผู้หญิงคนหนึ่งห้อยตระกรุดไป ขับรถราคาสองล้าน แล่นไปยังไงไม่รู้ สายจังหวัดชลบุรี เกิดอุบัติเหตุคนกลิ้งไปหลายตลบ ไม่เป็นไรเลยเดินปร๋อ รถใช้ไม่ได้เลย ประกันต้องเอารถมาเปลี่ยนให้ คนเดินลงมาจากรถก็ไม่เป็นไร
อาตมาเองก็เคยโดนชน ตอนกลับมาจากปราจีนบุรี คือวันนั้นรีบเพราะต้องไปสวดมนต์ที่วัดกระโดงทอง เขาทำบุญครบรอบวันตาย ก็เลยต้องเปลี่ยนรถใหม่ เขาเอารถปิคอัพมารับ พอมาถึงสี่แยกวรเชษฐ์ ฝั่งของเราไฟเหลืองกำลังจะเปลี่ยนเป็นไฟแดง อีกฝั่งไฟเหลืองกำลังจะเปลี่ยนเป็นไฟเขียว แต่พอไฟเหลืองขึ้นเท่านั้น คนขับรถสิบล้อมันก็ออกรถเลย ผิดนะ แต่มันเป็นธรรมชาติของมัน ทีนี้มอเตอร์ไซค์วิ่งมาข้างๆ คนขับรถคนที่เรานั่ง ก็มองไม่เห็น พอมาใกล้กันเข้าสิบล้อเขาก็หยุดให้เราแต่มอเตอร์ไซค์มันไม่หยุด มันเลยไป ชนโครม...ปั้ง... มอเตอร์ไซค์กระเด็นข้ามเหล็กไปหลายวา ตอนนั้นอาตมานั่งอยู่หน้ารถ มารู้สึกตัวอีกที อ้าวใครชน?? คนที่ชนเราป้ายทะเบียน ๒๘๒๙ หลุดออกมาเลย คนแถวนั้นเอาไปแทงหวย ถูกตรง ๆ เลย
คติธรรมข้อคิดของหลวงพ่อ
“มนุษย์ถ้าขาดการท่องบ่น ก็เป็นมลทิน มนต์จะศักดิ์สิทธิ์ จะขลังได้ ต้องหมั่นท่อง หมั่นสวดอยู่เสมอ เป็นกิจวัตรประจำทุกๆวัน เสนียดจัญไรไม่เกิดกับท่าน”
ข้อคิดเกี่ยวกับการสร้างวัตถุมงคล
“การสร้างวัตถุมงคลมีส่วนที่ทำให้คนเข้าวัดหรือเป็นคนดี มันมีได้ทั้งสองอย่าง ดีก็ได้ ไม่ดีก็ได้ เดี๋ยวนี้ ตามวัดต่างๆ ที่สร้างวัตถุมงคลส่วนใหญ่เป็นพุทธพาณิชย์ สมัยนี้นะ ถ้าสมัยก่อนอาจจะไม่ใช่พุทธพาณิชย์ อย่างสมัยหลวงพ่อปาน ท่านก็ไม่มีพิธีพุทธาภิเษกอะไร ท่านใช้วิธีปลุกเสกเดี่ยว ด้านนี้อาทิตตปริยายสูตร ด้านนี้ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร ด้านนี้อนัตตลักขณสูตร ด้านนี้มหาสมัยสูตร แล้วท่านก็นั่งเสกองค์เดียวของท่าน วิชาแก่กล้าท่านก็ใส่ลงไป ท่านก็เป็นหนึ่งเหมือนกัน
มาในสมัยปัจจุบันนี้ จริงๆแล้ว พิธีพุทธาภิเษกอยู่ในพระราชวัง แต่คนนำออกมาข้างนอก ก็มาจัดพิธีกัน พิธีนั้นพิธีนี้ โยงสายสิญจน์อะไรต่ออะไรไม่รู้ยุ่งไปหมด แรกๆก็ไปจังเลย จากนักสวดผีก็มาเป็นนักสวดพุทธาภิเษก ต่อมาก็ไปนั่งปรกเสก เสกครั้งแรกที่วัดพนัญเชิง แล้วก็เสกมาเรื่อย ๆ มาอีกทียุคจตุคามรามเทพ ไม่ไหวกลับ ๖ ทุ่ม ตี ๒ โยมถาม ทำไมอาจารย์ไม่สร้างบ้าง ไม่สร้างหรอก ดู ๆ แล้วมันหลอก ปัจจุบันนี้ทุก ๆ งานเป็นพุทธพาณิชย์เกือบทั้งนั้น ที่เห็นทุกงานจะมีอาตมาปลุกเสกตลอด อาจจะเขาเข้าใจกันว่า “รวย เพิ่ม พูน” เป็นมงคลนามที่ดี ที่อาตมาสังเกตุแต่ไม่ใช่สังเกตุเฉย ๆ เพราะเป็นผู้เข้าสังฆกรรม มันคล้าย ๆ กับว่าพลังของหลายๆองค์ถูกบรรจุเข้าไปในองค์พระนั้น
อาตมาเคยถามหลวงพ่อรูปหนึ่งว่า เวลาเสกท่านทำยังไง ท่านก็บอกว่าใส่เข้าไปเถอะ หลวงพ่อเมี้ยนที่มรณะท่านก็บอกว่าใส่เข้าไปเถอะก็ไม่เห็นว่านะโมพุทธายะ หัวใจนั่น หัวใจนี่ หรือบทนั้นบทนี้ ไม่มี คือ ครูบาอาจารย์ท่านจะสวดบริกรรมเกือบทั้งหมดในขณะที่นั่งปรกปลุกเสก ”
วิธีต่อดวงชะตาด้วยบารมีพระรัตนตรัย
สมเด็จพระนพรัตน์ วัดป่าแก้ว (วัดใหญ่ชัยมงคล) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ท่านสอนให้สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ต่อดวงชะตาด้วยวิธี ดังต่อไปนี้
จุดธูป ๓ ดอก กราบลง ๓ ครั้ง แล้วกล่าวคาถา ชุมนุมเทวดา
“ สัคเค กาเม จะรูเป คิริสิขะระตะเฏ จันตะลิกเข วิมาเน ทีเป รัฏเฐ จะ คาเม ตะรุวะนะคะหะเน เคหะ วัตถุมหิ เขตเต ภุมมา จายันตุ เทวา ชะละถะละ วิสะเม ยักขะคันธัพพะนาคา ติฏฐันตา สันติเกยัง มุนิวะระวะ จะนัง สาธะโว เม สุณันตุ
ธัมมัสสะวะ นะกาโล อะยัมภะทันตา ธัมมัสสะวะ นะกาโล อะยัมภะทันตา ธัมมัสสะวะ นะกาโล อะยัมภะทันตา ”
ตั้งนะโม ๓ จบ
“ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ ”
“ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ, ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ ติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ, ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ”
“ อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ, สะวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ, สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชะลีกะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ ”
วิธีแผ่ส่วนกุศล
กระผม/ดิฉัน ชื่อ ................ นามสกุล........................................... ขอแผ่ส่วนกุศลในการสวดมนต์ไหว้พระและประกอบความดีครั้งนี้ ให้กับญาติทั้งสองฝ่ายของข้าพเจ้า (ฝ่ายตัวเองและฝ่ายภรรยยา) ที่ตายไปแล้วทุกคน จงพ้นทุกข์ มีความสุขความเจริญ
กระผม/ดิฉัน ชื่อ ................ นามสกุล........................................... ขอแผ่ส่วนกุศลในการสวดมนต์ไหว้พระและประกอบความดีครั้งนี้ ให้กับญาติทั้งสองฝ่ายของข้าพเจ้า (ฝ่ายตัวเองและฝ่ายภรรยยา) ที่ยังมีชีวิตอยู่ และเพื่อนทุกคน สหายทุกคน เจ้านายทุกระดับชั้น ผู้มีพระคุณทุกคน และ.............ทุกคน จงได้ลาภ ยศ มีความสุขสรรเสริญ ตลอดกาล รวมทั้งตัวกระผม/ดิฉันด้วย
หลังจากแผ่ส่วนกุศลแล้ว ท่านประสงค์จะขอสิ่งใด เช่น
หลวงพ่อครับ กระผม/ดิฉัน ชื่อ ................ นามสกุล........................................... ด้วยเวลานี้ของที่ขาย ขายไม่ค่อยดี ขอให้ค้าขายดี เงินที่ไม่คล่องหรือไม่มี ขอให้มี และให้เหลือเก็บธนาคารไว้ใช้จ่ายเวลาเจ็บป่วย ลูกที่บอกสอนไม่เชื่อฟัง (ดื้อ) ขอให้บอกสอนได้ ผัวที่ติดสิ่งเสพย์ติด ก็ขอให้เลิก และขอให้บังเกิดโชคลาภตลอดกาล
ถ้าหลวงพ่อดลบันดาลให้ตามที่ กระผม/ดิฉันขอ กระผม/ดิฉัน จะสวดมนต์ถวายหลวงพ่อทุกวันครับ/ค่ะ
การเป่ายันต์ตรีนิสิงเห
ยันต์ตรีนิสิงเห เป็น ๑ ใน ๒ วิชา ที่ขึ้นชื่อที่สุดของหลวงพ่อพูน ซึ่งว่ากันตามจริง วิชาตรีนิสิงเหของหลวงพ่อพูน นี้ดังมานานแลัว และน่าจะเป็นที่รู้จักกันในหมู่ลูกศิษย์ยุคแรก ๆ ก่อนที่หลวงพ่อพูน จะออกตะกรุดดอก(ไม้)ทองเสียอีก โดยวิชาตรีนิสิงเหของหลวงพ่อพูน ท่านได้รับการถ่ายทอดมาจากอาจารย์ฆราวาส คือ อาจารย์ลพ เกตุบุตร ซึ่งเป็นพี่ชายของหลวงพ่อวาสน์ อดีตเจ้าอาวาสวัดบ้านแพน และเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ก๋งจาบ สุวรรณ ดับนั้นถ้าหากจะบอกว่าหลวงพ่อพูน ท่านก็เป็นศิษย์ในสายวัดประดู่โรงธรรมด้วยก็คงจะไม่ผิดมากนัก เนื่องจากจะเห็นได้จากพิธีไหว้ครูของท่านในแต่ละครั้ง จะมีรูปของอาจารย์ลพ และอาจารย์ก่งจาบ ตั้งอยู่ในพิธีเสมอ
ยันต์ตรีนิสิงเห ซึ่งถือเป็นยันต์ครู เป็นยันต์ที่มีอานุภาพมาก เรียกว่า ถ้าเขียนลบเป็นผงก็มีพุทธคุณเทียบเท่าปถมัง มหาราช และอิทธิเจ คนโบราณมักใช้จารบนแผ่นโลหะ หรือเขียนเป็นผ้ายันต์ติดเสาเรือน เพื่อป้องกันภูตผีปีศาจและโรคภัยไข้เจ็บ ป้องกันไฟไหมั และฟ้าผ่า หรือทำเป็นตะกรุดก็ได้ ท่านว่าปรารถนาสิ่งใด ก็ได้ดั่งปรารถนานั้นแล ถ้าเป่าเป็นยันต์ก็มีอานุภาพเทียบเท่า "ยันต์เกราะเพชร"
เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๔ หลวงพ่อพูน ได้จัดประกอบพิธีไหว้ครูและเป่ายันต์ตรีนิสิงเหเป็นครั้งแรก
เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลศิษยานุศิษย์ที่ตกทุกได้ยาก ให้มีโชคมีลาภ ทำมาค้าขายรุ่งเรือง และแคล้วคลาดปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวง ซึ่งการเป่ามหายันต์ตรีนิสิงเหนั้น หลวงพ่อพูนท่านจะอัญเชิญกลเลขทั้งหมดมาให้ครบทุกองค์ จ:ขาดเลยมิได้แม้แต่เลขตัวเดียว เพราะยันต์จะขาดไม่เข้าร่างกายมนุษย์ ดังนั้น พิธีเปามหายันต์ตรีนิสิเห จึงมีอานุภาพมาก เพราะมีคุณพระมาเป็นประธาน คุณเทวาอารักษ์ คุณครูบาอาจารย์ คุณพระฤษี ทั้ง ๑๐๘ ตน คุณแห่งยันต์ตรีนิสิงเห ทั้ง ๑๒ ประการ มาประทับเหนือยังเกล้ากระหม่อมผู้เข้าร่วมพิธี โดยสังเกตได้จากอากัปกิริยาต่างๆ ที่จะบังเกิดมี อาทิ มีอาการหนักศีรษะ คันหน้าผาก ขนลุกผอง อานิสงค์การเป่ายันต์ตรีนิสิงเห
๑. เป็นเลิศในทาง "เมตตามหานิยมและการค้าขาย"
๒. แก้อาถรรพ์ กันเสนียดจัญไร อันตรายทั้งปวง
๓. เป็นที่รักใคร่ของมนุษย์ อมนุษย์ เทวดา และผู้คนทั้งปวงอย่างวิเศษ
๔. เรียกโซคลาภ เงินทอง ให้ไหลมาเทมา ค้าขายดี กำไรงาม
๕. เสริมดวง เสริมราศี แก้ปีชง พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก เบญจเพส